ดูแลรถดำเงา

วิธีดูแลรถสีดำให้เงาอยู่เสมอ

การดูแลสีรถเป็นเรื่องที่คนมีรถให้ความใส่ใจไม่แพ้กับส่วนอื่นๆ ของรถ เพราะสีของตัวรถเป็นส่วนที่ปรากฎให้เห็นได้ชัดในสายตาแก่ผู้ที่มองเข้ามา โดยส่วนมากแล้วสีของรถยนต์จะเป็นสีเดียวทั้งคัน หากเมื่อไหร่ที่มีคราบสกปรกในบางจุด ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในทันที โดยเฉพาะกับรถที่มีสีดำ ที่จะปรากฎให้เห็นร่องรอยต่างๆ ได้อย่างชัดเจน   

 

รถสีดำ

   เป็นรถที่เห็นแล้วให้ความรู้สึก เท่ สง่างาม ดูคลาสสิค แต่ดูแลยากเพราะเวลาที่มีฝุ่นมาเกาะหรือรอยขีดข่วนนิดหน่อยก็จะเห็นชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้ววิธีการดูแลทำความสะอาดรถสีดำก็เหมือนกับรถสีอื่นๆ เพียงแค่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษมากกว่ารถสีอื่นๆ แต่จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้รถสีดำดูเงางามอยู่เสมอ

 

ห้ามใช้ไม้ขนไก่

   อย่าใช้ไม้ปัดขนไก่ปัด หลายคนไม่ชอบที่จะเห็นรอย หรือคราบฝุ่นผงแม้แต่เพียงเล็กน้อย และวิธีที่อยากกำจัดสิ่งขวางหูขวางตาเหล่านั้นก็คือการหาไม้ขนไก่มาปัดเช็ดถูให้สะอาด ด้วยความคิดที่ว่าคราบเหล่านั้นจะหลุดออกไปจากรถ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจถูกแต่เป็นวิธีการที่ผิด การใช้ไม้ขนไก่มาทำวามสะอาดรถนั้นจะยิ่งทำให้เกิดรอยขนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งกับรถสีดำด้วยแล้วล่ะก็จะขึ้นรอยให้เห็นได้ชัดมากๆ รอบสกปรกที่ปัดกวาดไปก่อนหน้าหายไปก็จริง แต่จะถูกแทนที่ด้วยรอยสกปรกรอยใหม่ที่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งชัด แนะนำให้ฉีดน้ำล้างตัวรถจะดีกว่านะครับ

 

ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์

   ผ้าที่เหมาะจะเอามาเช็ดรถคือ ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ก่อนเช็ดควรเอาไปชุบน้ำแล้วบิดน้ำออกให้เปียกพอหมาดๆ จากนั้นจึงนำไปเช็ดรถ เพราะผ้าเหล่านี้่มีคุณสมบัติในการดูดซับความเปียกชื้นได้ดีและไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้กวนใจ

 

เคลือบสี

   จะรถเก่าหรือรถเพิ่งถอยมาใหม่ ควรลงแว็กซ์เคลือบสีอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นอาทิตย์ละครั้งก็ได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย แถมยังช่วยให้ฝุ่นจับรถได้ยากด้วย ส่วนแว็กซ์ที่จะใช้ควรเป็นแว็กซ์ที่มีคุณภาพหรือเหมาะสำหรับรถสีดำโดยเฉพาะ การเคลือบแก้ว เป็นวิธีการที่ได้ผลดีเป็นอย่างมาก และหลายคนที่รักรถก็ยอมจ่ายในขั้นตอนนี้ เพราะการเคลือบแก้วจะช่วยให้รถดูเงา แวววาวขึ้น อีกทั้งยังล้างสิ่งสกปรกออกได้ง่ายขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดรอยขนแมวได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องทำบ่อยๆ เคลือบเพียงครั้งเดียวก็อยู่ได้นานเป็นปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาด้วย การเคลือบแก้วแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยถนอมสีรถอย่างได้ผล อีกทั้งช่วยป้องกันรถจากรังสี UV อีกด้วย แต่ขอยืนยันว่าแม้จะราคาสูงแต่การันตีคุณภาพ อยากให้รถสีดำของคุณคมเข้ม เงาเป็นประกาย ทางเลือกที่คู่ควรการลงทุนนี้จะตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดี กรณีที่รถสีดำมีรอยขนแมวบางๆ ให้ขัดสีรถเพื่อลบรอยเป็นการลอกชั้นแว็กซ์เก่าออกก่อน พื้นผิวจะได้เรียบสม่ำเสมอ และให้ลงแว็กซ์เคลือบสีรถซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้รอยนั้นหายไป

 

ทำความสะอาดรถยนต์

   หมั่นทำความสะอาดรถอยู่เสมอ ล้างและเช็ดให้แห้ง ถือว่าเป็นวิธีเบื้องต้นในการดูแลรถสีดำของคุณให้เงางามได้ตลอดเหมือนกัน เพราะรถสีดำแค่ขับเส้นทางสั้นๆ ทั้งฝุ่น ทั้งเขม่าควัน ก็มาเกาะได้แล้ว

 

   สีดำเป็นสีที่ให้ความรู้สึกทรงพลัง ดุดัน และมีความหนักแน่น เช่นเดียวกันหากไม่ดูแลและปล่อยให้เกิดคราบสกปรก ปล่อยให้รถซีดหมองฝุ่นละอองจับจากรถหรูดูมีราศี  แม้จะแพงแค่ไหนก็กลายเป็นรถที่ไม่น่าพิสมัยได้ในเวลาเดียวกัน เชื่อว่าทุกคนย่อมรักและหวงแหนรถของตัวเอง ดังนั้นควรหมั่นดูแลรถของคุณให้ดูดีเหมือนใหม่นอกจากจะช่วยให้รถสะอาด ดูมีราคาแล้ว ความสวยงามเหล่านั้นยังเสริมให้คนขับมีภาพลักษณ์ที่ดีไปด้วยเช่นกัน

Cr. https://unitedhonda.com/blog/วิธีดูแลรถสีดำให้เงาอยู่เสมอ

06_40

รู้จัก รู้ใช้ ถุงลมนิรภัย

การทำงานของระบบถุงลมนิรภัยจะคล้ายๆ กัน คือจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการชน และส่งสัญญาณไปยังกล่องควบคุมเพื่อสั่งให้ถุงลมพองตั วอย่างรวดเร็ว หากมีการชนอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเพราะจะช่วยรั้งให้เ ราอยู่กับเบาะหากเกิดการชน ทั้งลดการบาดเจ็บได้อย่างมาก สมัยนี้ถุงลมนิรภัยมีอยู่ในหลายจุดหลายรูปแบบ ซึ่งผู้ใช้รถเองอาจไม่ทราบเลยว่ามีถุงลมแบบนี้อยู่ใน รถด้วย

ถุงลมด้านหน้า (Front Airbog) หากมีการชนอย่างรุนแรงเซ็นเซอร์จะจับได้ว่ามีแรงปะทะ เกินค่าที่กำหนดถุงลมจะพองตัวภายในเวลา 0.015-0.030 วินาที ในการชนด้านหน้า เข็มขัดนิรภัยจะดึงร่างกายส่วนล่างและส่วนบน ส่วนถุงลมจะช่วยรองรับหน้าอกและศีรษะ

ถุงลมด้านข้าง (Side Airbog) จะมีเซ็นเซอร์ลักษณะเดียวกับด้านหน้า การติดตั้งอาจมีอยู่ที่แผงประตูหรือที่ตัวเบาะนั่งก็ ได้ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต

ม่านถุงลม (Curtain Airbog) หากเกิดการชนด้านข้างในระดับปานกลางถึงรุนแรง ถุงลมแบบม่านจะพองตัวลงมา พร้อมการดึงกลับของเข็มขัดนิรภัย

ถุงลมป้องกันเข่าและขา (Knee Airbog) จะซ่อนอยู่ใต้คอนโซลด้านผู้ขับขี่ บริเวณหัวเข่า ใช้ตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกระแทกเดียวกับถุงลมนิรภัย ด้านหน้า ถุงลมประเภทนี้จะช่วยป้องกันขา หัวเข่า เข้าชนคอนโซล ด้านล่างใต้พวงมาลัย รวมทั้งสะโพกและต้นเข่า

ถุงลมที่พื้นใต้เท้า (Carpet Airbog) ถุงลมชนิดนี้จะช่วยดูดซับแรงที่เท้าจะไปกระแทกกับพื้ นและผนังกั้นระหว่างห้องโดยสารและห้องเครื่อง โดยใช้เซ็นเซอร์เดียวกับถุงลมนิรภัยด้านหน้า (ยังไม่ใช้กันนัก)

ที่สำคัญต้องไม่ประมาท เพราะถุงลมนิรภัยเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยลดความรุ นแรงจากอุบัติเหตุเท่านั้น 

CR : http://www.hondaloverclub.com/forums/showthread.php?t=7666

engine-piston-cross-section_1232-2590

อุปกรณ์ในระบบหล่อเย็นที่สำคัญและจะขาดเสียไม่ได้อีก

 พัดลมหม้อน้ำ เพราะช่วยในการถ่ายเทความร้อนระหว่างรังผึ้งหม้อน้ำกับอากาศให้สมดุลกับปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้น ปัจจุบันพัดลมหม้อน้ำในรถยนต์ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เพราะการควบคุมการทำงานได้ง่ายกว่าชนิดขับด้วยสายพาน แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำให้มีขนาดใหญ่มาก ๆ ได้เนื่องจากกระแสไฟฟ้าในรถมีน้อย รถที่ต้องการอัตราการไหลของอากาศมาก ๆ เนื่องจากอุณหภูมิการทำงานของเครื่องยนต์สูง เช่น รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลจึงยังจำเป็นต้องใช้พัดลมชน ิดที่ขับด้วยสายพานโดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์อยู่

โดยปกติพัดลมหม้อน้ำจะไม่ต้องการการบำรุงรักษาใดๆ เพราะหากชำรุดขึ้นก็เปลี่ยนใหม่ แต่อย่างไรก็ดีควรหมั่นตรวจดูสภาพและการทำงานเป็นระย ะ ๆ โดยการตรวจสภาพและการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ ซึ่งควรทำทุกครั้งที่ตรวจระดับน้ำหล่อเย็น ต่อจากนั้นตรวจดูใบของพัดลมว่าไม่แตกหักเสียหายหรือเ ปลี่ยนรูปไป ตรวจดูโครงยึดและกรอบบังลมว่าตรึงแน่นอยู่ในตำแหน่งอ ย่างถูกต้องและไม่มีร่องรอยของการเสียดสี สายไฟและปลั๊กต่อว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ขาด แตกหัก หรือหลุดลุ่ย ตรวจการทำงานของพัดลมหม้อน้ำและวงจรควบคุม โดยสตาร์ตเครื่องยนต์แล้วสังเกตการทำงานของพัดลมหม้อ น้ำในสภาวะปกติ ระหว่างที่ติดเครื่องยนต์ใหม่ ๆ พัดลมหม้อน้ำจะยังไม่ทำงาน พัดลมจะเริ่มหมุนเมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์เริ่มสู งกว่าอุณหภูมิทำงานปกติ (ประมาณ 85-90 องศาเซลเซียส) และจะหยุดหมุนเมื่ออุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดต่ำลงกว่ าระดับดังกล่าว สลับไปมาอย่างนี้ตลอดไป

  ดังนั้นถ้าพบว่า พัดลมหม้อน้ำทำงานอยู่ตลอดเวลา แสดงว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นในระบบหล่อเย็น หรืออุปกรณ์ควบคุมการทำงานของพัดลม ลองใช้น้ำฉีดที่หม้อน้ำ (อย่าฉีดไปที่ตัวมอเตอร์โดยตรงเพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้า ลัดวงจร หรือชิ้นส่วนภายในเสียหาย) ถ้าฉีดแล้วพัดลมหยุดทำงานก็แสดงว่าการระบายความร้อนข องหม้อน้ำไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ปริมาณของสารหล่อเย็นมีไม่พอเพียง เกิดการอุดตันที่ครีมระบายความร้อน มีตะกรันหรือสนิมในหม้อน้ำอุปกรณ์ในระบบหล่อเย็น (ปั๊มน้ำเทอร์โมสตัท) บกพร่อง แต่ถ้าฉีดน้ำจนแน่ใจว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์ลดลงจน ต่ำกว่าอุณหภูมิทำงานแล้ว พัดลมก็ยังไม่หยุดทำงานแสดงว่าอุปกรณ์ควบคุมการทำงาน ของพัดลม (เทอร์โมสวิตช์) บกพร่อง

อาการบกพร่องประการสุดท้าย คือ พัดลมไม่หมุน ลองตรวจดูฟิวส์เสียก่อนเป็นอันดับแรก (ตำแหน่งของฟิวส์ได้จากคู่มือผู้ใช้รถของแต่ละรุ่น) ถัดจากนั้นก็เป็นสายไฟและขั้วเสียบ ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ แสดงว่าตัวพัดลมหรือไม่ก็วงจรควบคุมบกพร่อง สำหรับการแก้ไขในกรณีนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ขอ งช่างที่มีความชำนาญเป็นดีที่สุด ไม่แนะนำให้แก้ไขเองครับ ประเดี๋ยวจะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะวงจรควบคุมพัดลมหม้อน้ำในระบางรุ่นเชื่อมต่ออยู ่กับกล่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ เคราะห์หามยามร้ายเกิดไปทำกล่องที่ว่านั่นเสียจะกลาย เป็นเรื่องใหญ่

การดูแลรักษาระบบหล่อเย็นโดยสังเขปคงมีเท่านี้ ขอให้ใช้รถในหน้าร้อนได้อย่างสบายอกสบายใจ

และสนุกสนา นทุกท่านครับ

CR : http://www.hondaloverclub.com/forums/showthread.php?t=7279

1423824065

การดูแลรักษารถยนต์แบบง่ายๆ ที่คนรักรถควรรู้

1. เช็คระดับน้ำมันเครื่อง
สำหรับใครที่อยากลองดูแลรถด้วยตัวเอง น้ำมันเครื่องถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ควรเปลี่ยนบ่อยที่สุดในอายุการใช้งานของรถ เราสามารถหมั่นตรวจเช็คระดับของน้ำมันเครื่องด้วยตัวเองโดยใช้อุปกรณ์แค่เพียงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องเท่านั้น เราควรเช็คระดับของน้ำมันเครื่องหลังจากที่ดับเครื่องยนต์ประมาณ 10 นาที ดูน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับระหว่างตัวอักษร F และ L ก็แปลว่าน้ำมันเครื่องของคุณอยู่ที่ระดับปกติอยู่

2. ดูแลปอดของรถสักหน่อย
สิ่งที่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าแบบง่ายๆ อีกอย่างคือไส้กรองอากาศ ซึ่งเปรียบเสมือนกับปอดของรถ เพราะช่วยดักฝุ่นละอองต่างๆ เข้าไปในเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าไส้กรองอากาศตันหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์ของคุณกำลังตกหรือเครื่องยนต์สั่น นอกจากนี้ยังเป็นผลให้ควันเสียมีไอดำได้ หรือสามารถเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุกๆ 20,000 กม.

3. ตรวจเช็คสภาพห้องเครื่องอย่างสม่ำเสมอ
ลองสำรวจรอบๆ สภาพห้องเครื่องของรถตัวเองด้วยตาเปล่าอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น สายไฟทุกเส้นอยู่ในสภาพที่ปกติ ไม่มีรอยแตกที่สายพาน ไม่มีคราบน้ำมันรั่วในแต่ละจุด หม้อน้ำไม่มีรอยรั่วซึม ไม่มีร่องรอยการกัดแทะของหนูหรือเจ้าแมวที่บางงครั้งชอบเข้ามาแอบในห้องเครื่อง

4. น้ำมันเบรกอย่าปล่อยให้เป็นดำ
น้ำมันเบรกถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการขับขี่อย่างปลอดภัยของทุกคนมากๆเพราะน้ำมันเบรกเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลังการเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อ เพราะฉะนั้นการดูแลน้ำมันเบรกอย่างสม่ำเสมอจึงจำเป็นมาก โดยปกติเราควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกๆ6เดือน หรืออาจจะสังเกตดูจากสีน้ำมันเบรกก็ได้ ถ้าเริ่มมีสีคล้ำบางครั้งอาจเพราะความชื้นก็สามารถนำไปเปลี่ยนหรือเปลี่ยนด้วยตัวเองได้

side-view-woman-talking-smartphone-while-driving-her-car_23-2148685334

วันนี้ว่าด้วยเรื่องเทคนิค การเคลมประกัน

ประกันชั้น 1 ไม่จ่ายในกรณีที่ขับๆรถไปแล้วรถยางแตก รั่ว แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยางแตกหรือ รั่ว เคลมประกัน จ่าย ครึ่งราคายางใหม่ เพราะฉนั้นถ้าขับรถไปยางแตกหรือรั่ว เปลี่ยนยางแล้วเก็บยางไว้ รอเกิดอุบัติเหตุแล้ว แจ้งความเสียหาย ว่า มียางแตกด้วย แต่ต้องสมเหตุสมผลด้วยนะครับ

ประกัน 3+ ไม่จ่ายเวลาชนกับอย่างอื่นที่ไม่ใช่รถ ถ้าชนเสา ชนประตู แนะนำว่าโทรตามเพื่อนที่มีแผลต้องซ่อม รอวันว่างๆ จัดฉากเลยครับ อย่าลืมคำนี้เด็ดขาด สมเหตุสมผลๆ

-การเคลมประกัน ทำสีรอบคัน หลายคนชอบรอจนประกัน ใกล้ๆจะหมดแล้วก็ตามประกัน มาเคลมๆๆๆ โดนค่าเสียหายส่วนแรกบานครับ แถมน้องคนที่ทำเรื่องอาจซวยไปด้วย ฐานสมรู้ร่วมคิดครับ เทคนิค คือ ต้องวาง แพลนกันนิดหน่อย 2 อาทิตย์เรียกเคลมทีนึงครับ ฝั่งซ้ายก่อน อีก 2 อาทิตย์ ก็ฝั่งขวา แล้วก็ ด้านหน้า ด้านหลัง ไม่ควรเคลมเกินครั้งละ 5 จุด เน้นเฉพาะจุดใหญ่ๆนะ ใช้เวลา ไม่เกิน เดือนครึ่ง อาจจะไม่ครบทุกชิ้นแต่ ก็เรียบร้อยแล้ว เสร็จแล้วก็รวบรวมใบเคลม ทั้งหมด ไปที่อู่ที่รับเคลมประกันครับ บอกไปเลยครับว่าเนี่ยมีใบเคลมทั้งหมดเนี่ย ทำสีรอบคันเลยนะเฮีย ถ้าขาดไปชิ้น สอง ชิ้น ส่วนใหญ่จะไม่คิดเงินเพิ่มครับ

คนที่ขายประกันคุณ นี่ต้องตีซี้ แล้วก็ถามตรงๆเลยว่า เคสไหน เคลมประกันทำได้ เคลมประกันทำไม่ได้ เคสนี้ควรทำยังไง ถ้าเขาไม่ปกป้องผลประโยชน์ให้เรา เราก็ไม่ควรซื้อ ประกันเค้าครับ

-ของแต่งรถแพงๆแจ้งไว้เลยครับ ยิ่งเปลี่ยนมาทีหลังยิ่งต้องรีบแจ้ง

-ประกันไหนที่ไหนดี โทรถามอู่เลยครับ เฮียๆยี่ห้อไหนเฮียไม่รับรถมาทำบ้าง ประกันไหน ที่อู่ส่วนมากรับทำ ประกันนั่นแหละครับดี

-ถ้าไม่เคลมทั้งปีเราต้องได้ส่วนลดขับดี ถ้าไม่มีแปลว่าคนขายเม้มแล้วละ

การทำอะไรที่มันไม่สุจริตมันไม่ดีนะครับ วิธีการนี้คุณรู้ ผมรู้ ประกันก็รู้ครับ แต่ส่วนมากจะปล่อยๆ ถ้ามันไม่มากจนเกินไป ถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆ แบบ “เฮ้ยเดือนนี้ตรูเบื่อสีเขียวขี้ม้าแล้ววะ เดี๋ยวๆเดือนหน้าเปลี่ยน เป็นสีขาวขี้หมาดีกว่าเฟร้ย”  อันนี้มันก็ไม่ควรครับ ถ้าไม่ลำบากจริงๆก็ไม่แนะนำนะคร้าบบ

*บริษัทประกันภัย*
ไม่มีกล้องวงจรปิด คอยส่องดูว่าเวลาเกิดเป็นอย่างไร เกิดจริงหรือไม่จริง หรือจะหาพยานรู้เห็นมาคอยตอบว่าเกิดเหตุ อย่างไร ก็คงลำบาก โดยหลักแล้ว บริษัทประกันภัย จะถือการให้ปากคำของ ผู้ขับขี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คือ “สุจริต” หากบริษัทประกันภัย ตรวจสอบพบผู้ขับขี่โกหก หรือให้ปากคำอันเป็นเท็จ ประกันภัยก็อาจไม่รับผิดชอบได้ เวลาเคลม พนักงานเคลมก็ จะให้เรากรองข้อความในใบเคลมว่า
    วันไหนเวลาใด ขับรถจากไหนไปไหน และเกิดอุบัติเหตุอย่างไรมีอะไรเสียหายบ้าง ซึ่งจริงๆเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผู้ขับขี่บางคนก็ บอกมั่วๆไป โดยไม่เจตนา เพราะจำไม่ได้บ้าง เก็บแผลไว้นานมากแล้วต่อ
อายุประกันมา 3 ปี สนิมขึ้นแล้ว เพิ่งมาเคลมก็มี แต่ถ้ามันเป็นการเกิดเหตุจริงๆ ไม่ได้กระทำเองหรือเจตนาให้มันเกิดความเสียหาย นั้นก็ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์แน่นอน = ท่องไว้ครับต้องสมเหตุสมผลๆ

CR : http://usedcar.exteen.com/20081105/entry