ฤดูฝนกลับมาอีกแล้ว ทางผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าผู้ใช้รถหลาย ๆ ท่านคงไม่ชอบฤดูนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็คงหนีไม่พ้นนะครับ เพราะเราต้องอยู่กับฤดูฝนไปอีกหลายเดือน ฤดูฝนนั้นอาจเป็นอุปสรรคในการเดินทางของหลาย ๆ ท่าน ไม่ว่าจะทำให้พื้นถนนเปียกลื่นและหนักกว่านั้นบางครั้งอาจเจอน้ำท่วมขังบนพื้นถนน สำหรับรถปิกอัพยกสูงคงจะไม่มีปัญหา แต่ถ้ารถเก๋ง หรือรถปกติทั่วไปคงจะยากที่จะวิ่งผ่านไปได้ ในวันนี้ทางผู้เขียนจะมีข้อแนะนำในการขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังอย่างปลอดภัยมาฝากกันครับ
ประเมินระดับน้ำ หากพบว่าด้านหน้ามีน้ำท่วมถนน ก็ควรหยุดรถชั่วคราวเพื่อประเมินสถานการณ์ของระดับน้ำที่ท่วมพื้นถนนก่อนว่าอยู่ระดับใด หากระดับน้ำท่วมอยู่ประมาณ 5-10 เซนติเมตร ก็สามารถขับผ่านไปได้แต่หากระดับน้ำสูงกว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป อาจจะต้องพิจารณาหาเส้นทางอื่นแทน โดยการประเมินระดับน้ำอาจสังเกตจากรถที่วิ่งนำหน้ารถเราไป ก็จะสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าปลอดภัยหรือไม่ครับ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จะผ่านเส้นทางนี้ให้ขับตามรถคันหน้า เพราะรถคันหน้าจะดันน้ำออกไปคุณก็ขับตามไปแต่ควรเว้นระยะห่างด้วย คลื่นน้ำจากเป็นคลื่นสูงก็จะเล็กลง แต่ต้องระมัดระวังอย่างมาก หากรถคันหน้าเบรกกะทันหัน ก็อาจจะชนท้ายรถคันหน้าได้ครับ
ปิดสวิตช์เครื่องปรับอากาศ หากคุณตัดสินใจแล้วว่าจะต้องวิ่งผ่าน ถนนที่มีน้ำท่วมนี้แล้วจะต้องปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะการที่คุณเปิดเครื่องปรับอากาศขณะที่รถขับลุยน้ำไปนั้น ใบพัดของมอเตอร์ระบายความร้อนเครื่องปรับอากาศจะพัดน้ำที่เรา ขับผ่านไปกระจายทั่วห้องเครื่องยนต์อาจส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า ได้ครับเพราะฉะนั้นแล้วแนะนำให้ปิดดีกว่าครับ
อย่าเร่งเครื่อง หลายท่านมักเข้าใจผิดว่า ต้องเร่งเครื่องเร่งรอบเครื่องให้สูง ๆ ระหว่างขับผ่านน้ำท่วม เพราะกลัวน้ำจะเข้าท่อไอเสีย เพราะกลัวเครื่องจะดับ แต่จริง ๆ แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องครับ การเร่งเครื่องกลับให้ผลร้ายมากตามมา เนื่องจากการเร่งรอบสูง ๆ ทำให้มีอุณหภูมิห้องเครื่องสูงขึ้น และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พัดลมระบายความร้อนก็จะทำงาน ทำให้ใบพัดลมระบายความร้อนหมุน ใบพัดลมระบายความร้อนก็จะหมุนน้ำให้กระจายไปทั่วห้องเครื่องยนต์ซึ่งน้ำที่ กระจายไปโดนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือระบบไฟฟ้าส่งผลให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ได้รับความเสียหายตามมาได้ครับ เพราะฉะนั้นให้เลี้ยงรอบให้คงที่ไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไปครับ
ให้ใช้เกียร์ต่ำ การขับผ่านพื้นถนนที่มีน้ำท่วมขังจะต้องขับด้วยความเร็วที่ต่ำ เท่าที่จะทำได้และให้ใช้ความเร็วที่สม่ำเสมอเพื่อให้รอบเครื่องยนต์คงที่ หากใช้ความเร็วสูงก็จะทำให้เกิดคลื่นน้ำที่สูงขึ้นตามไปด้วยและ ถ้ามีรถอีกฝั่งวิ่งสวนมาก็จะทำให้คลื่นกระทบกันจนทำให้ส่งผลเสียต่ออุปกรณ์ในรถยนต์คุณได้ครับ
เว้นระยะห่างรถคันหน้า เมื่อระบบเบรกเปียกน้ำหรือแช่อยู่ในน้ำประสิทธิภาพในการเบรกจะ ลดลงเนื่องจากน้ำทำให้จานเบรกลื่นและเมื่อคุณเหยียบเบรกประสิทธิภาพ ในการเบรกก็จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นแล้วให้เว้นระยะห่างจาก รถคันหน้าเพื่อเผื่อระยะในการเบรกประมาณ 2-3 เมตร ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ครับ
ย้ำเบรก เมื่อคุณขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขังไปแล้วให้ทำการย้ำเบรกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก และหากเป็นเกียร์กระปุกให้ย้ำคลัตช์หลาย ๆ ครั้งด้วยเพื่อไล่น้ำออกจากระบบคลัตช์ด้วยครับ เพราะขณะที่คุณขับลุยน้ำไปนั้นน้ำอาจเข้าไปติดค้างในระบบเบรก และคลัตช์โดยอาจเกิดสนิมส่งผลความเสียหายต่อชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ครับ
การขับรถลุยน้ำนั้นถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเหลี่ยงจะดีที่สุดครับเพราะการขับรถลุยน้ำในระดับที่สูงมาก ๆ ย่อมส่งผลไม่ดีต่อรถยนต์คุณในระยะยาวเนื่องจากในรถยนต์มีอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างจะเยอะและอุปกรณ์เหล่านี้มักจะไม่ชอบน้ำเอาเสียด้วยครับเมื่อมีการขับลุยน้ำบ่อย ๆ ก็อาจจะส่งผลให้อุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เหล่านี้ชำรุด ซึ่งราคาอุปกรณ์เหล่านี้ก็สูงพอสมควรและอีกประการหนึ่ง ระบบช่วงล่าง เช่นลูกปืนล้อ เพลาขับ และอุปกรณ์อื่น ๆ เมื่อถูกแช่น้ำบ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดสนิมและทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นชำรุดก่อนอายุนั่นเอง ซึ่งการขับรถรถลุยน้ำนั้นไม่มีผลดีเลยถ้าหลีกเลี่ยงได้ดีที่สุดครับ ท้ายสุดนี้ทางผู้เขียนหวังว่าทุกท่านคงได้ความรู้ไม่มากก็น้อยซึ่งสามารถ นำไปใช้ในสถานการณ์น้ำท่วมขังเพื่อลดอุบัติเหตุและเป็นการดูแลรถยนต์ ของท่านให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นต่อไปด้วยครับแล้วพบกับบทความดี ๆ ของเราใหม่ครั้งหน้าสวัสดีครับ.
Cr.https://phithan-toyota.com/th/article/detail/1194/3